เสริมคาง สวยไม่โป๊ะ! ยืนหนึ่งเรื่องคางสวย | Ve’anna Clinic
เสริมคาง ทำคาง ควรเลือกอย่างไรให้สวยเป๊ะแบบไม่โป๊ะ การ เสริมคางมีกี่ แบบ แล้วควรทำ คางที่ไหนดี วันนี้เราจะพามาหาคำตอบไปพร้อมกัน สำหรับใครที่กำลังมีแพลนจะเสริมคางอยู่ละก็บอกเลยว่าไม่ควรพลาด
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันการทำศัลกรรมเสริมความงามได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเสริมคางผู้ชายหรือการเสริมคางผู้หญิง ซึ่งฮอตฮิตมากในหมู่หนุ่มสาววัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน เพราะไม่เพียงแค่ทำให้ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวยขึ้น พร้อมแก้ไขปัญหาคางตัด คางบุ๋ม และคางถอยได้อีกด้วย แต่ก่อนจะตัดสินใจทำศัลยกรรมแต่ละครั้ง สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ ต้องเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ และแพทย์ ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
สำหรับใครที่มีแพลนจะเสริมคางและกำลังมองหาคลินิกเสริมความงามที่โดดเด่นเรื่องศัลยกรรมเสริมคางอยู่ละก็ วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับการทำศัลกรรมเสริมคาง พร้อมแนะนำคลินิกที่ช่วยเนรมิตคางให้สวยเป๊ะดั่งใจกันค่ะ
เสริมคางด้วยซิลิโคน หรือฉีดฟิลเลอร์ แบบไหนดีกว่ากัน ?
ปัญหาที่หลายคนสงสัยคือ การศัลยกรรมเสริมคางด้วยซิลิโคนหรือฉีดฟิลเลอร์ แบบไหนดีกว่ากัน โดยต้องยอมว่าการฉีดฟิลเลอร์กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะฉีดปุ๊บสวยปั๊บแล้ว หลังฉีดยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องพักฟื้นอีกด้วย แต่ข้อเสียก็คือ ฟิลเลอร์แท้จะมีการสลายไปตามของตัวฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป และหากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือใช้เทคนิควิธีฉีดที่ไม่สะอาดก็อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อ ฟิลเลอร์เป็นก้อน หรือเป็นคลื่นบริเวณที่ฉีดได้ อีกทั้งหากคนไข้ถูกหลอกฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือสารเหลวแล้วต้องการแก้ไข อาจจะต้องเสียเงินเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก เพราะถือเป็นเคสที่ค่อนข้างแก้ยาก เรียกได้ว่าฉีดหลักพันแต่ค่าแก้เฉียดแสนเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้หลาย ๆ คนจึงหันมาเสริมคางด้วยซิลิโคนแทน เนื่องจากแพทย์สามารถเหลาซิลิโคนให้เข้ากับใบหน้าหรือปรับขนาดให้เหมาะกับปัญหาของคางแต่ละคนได้ อีกทั้งยังอยู่ได้แบบถาวรด้วย
เสริมคาง เหมาะกับใครบ้าง ?
- คางสั้น : ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหายอดฮิตที่คนส่วนใหญ่ตัดสินใจมาทำคาง เพราะเมื่อคางสั้น ปัญหาที่ตามมาก็คือใบหน้าจะดูสั้นตามไปด้วย สามารถแก้ไขได้โดยการเสริมคางให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้น
- คนที่มีคางตัด : ปลายคางมีลักษณะตัดตรงขนานไปกับพื้น ทำให้หน้าดูสั้นและไม่มีมิติ การเสริมคางจะช่วยปรับรูปหน้าที่ดูแข็งให้มีมิติ และหวานมากยิ่งขึ้น
- คนที่มีคางถอย : คนที่มีปัญหาคางถอยไปด้านหลังมากเกินไปจนทำให้ใบหน้าผิดรูปก็สามารถใช้การเสริมคางเพื่อแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกัน
- คนที่มีคางบุ๋ม : ปลายคางมีลักษณะเป็นร่องบุ๋มตรงกลางระหว่างคางทั้งสองข้าง ซึ่งทำให้หน้าสั้น ดูไม่สมส่วน สำหรับผู้หญิงที่มีคางบุ๋มก็จะทำให้หน้าแข็งเหมือนผู้ชาย แต่ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการเสริมคาง นอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องคางบุ๋มได้แล้ว ยังทำให้หน้าดูเรียวสวยขึ้นด้วย
- คนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวยขึ้น : สำหรับคนที่คางไม่ได้มีปัญหาไร แต่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนใบหน้าที่สมบูรณ์แบบหรือเรียวสวยขึ้น ก็สามารถเสริมคางได้เช่นเดียวกัน
- คนที่มีใบหน้าไม่สมดุล : สำหรับคนที่มีปัญหาใบหน้าส่วนบน ไม่ว่าเป็น หน้าผากกว้าง หรือโหนกแก้มยื่นออกมามากกว่าปกติ แต่คางกลับสั้น ซึ่งดูไม่สมส่วน ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเสริมคางเพื่อให้ใบหน้าดูสมดุลและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
- คนที่มีใบหน้ากลม หรือแก้มเยอะ : การเสริมคางจะช่วยปรับรูปหน้าของคนไข้ให้เรียวลง เนื่องจากยอดคางที่เป็นวีมน และดูมีมิติมากยิ่งขึ้น
สัดส่วนใบหน้ากับการเสริมคางแต่ละประเภท
ใคร ๆ ก็อยากมีใบหน้าที่สวยได้รูปกันทั้งนั้น ซึ่งสัดส่วนใบหน้าที่สมบูรณ์แบบหรือสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) แบ่งออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กัน คือ 1:1:1 ประกอบด้วย ส่วนบนของใบหน้า วัดจากหน้าผากบริเวณขอบไรผมจนถึงหว่างคิ้ว สำหรับส่วนกลางของใบหน้า ส่วนนี้ถือเป็นส่วนที่ค่อนข้างสำคัญ เนื่องจากเป็นบริเวณที่คนสังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุด โดยวัดจากหว่างคิ้วลงมาจนถึงปลายจมูก และส่วนล่างของใบหน้า วัดจากปลายจมูกจนถึงปลายคาง เพราะฉะนั้นการทำศัลกรรมอะไรก็ตามจะต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ใบหน้าออกมาสวยเพอร์เฟกต์ที่สุด โดยเฉพาะการศัลยกรรมเสริมคาง ควรเลือกเทคนิคและซิลิโคนให้เหมาะกับรูปหน้าของตัวเอง เพราะแต่ละคนมีปัญหาและรูปหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
คนไข้ที่มีกรามใหญ่
คนไข้ที่มีกรามค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับซิลิโคนขายาว เนื่องจากมีขากว้างสามารถครอบด้านข้างของคางไปจนถึงแนวกรามเพื่อให้รับกับกรอบหน้าได้พอดี ซึ่งช่วยทำให้หน้าดูเรียวลงและได้รูปสวยมากยิ่งขึ้น
คนไข้ที่มีใบหน้ากลม
สำหรับคนไข้ที่มีใบหน้ากลม หรือแก้มเยอะ ควรเสริมคางด้วยซิลิโคนขายาว เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูเรียวยาวและมีมิติ
คนไข้ที่มีใบหน้าเรียวเล็ก
นอกจากคนที่มีกรามใหญ่และหน้ากลมแล้ว คนที่มีใบหน้าเรียวเล็กก็สามารถเสริมคางได้เช่นเดียวกัน เพราะบางคนหน้าเรียวแต่คางตัด หรือต้องการปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น โดยแนะนำให้เสริมด้วยซิลิโคนขาสั้นเพื่อให้ได้คางที่สวยเนียนเป็นธรรมชาติ
เสริมคางด้วยซิลิโคนแบบไหนดี
ใครที่สนใจและกำลังศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมคาง สิ่งแรกที่ควรรู้เลยก็คือประเภทของซิลิโคนเสริมคาง เป็นซิลิโคนที่มีรูปร่างโค้งและมีขาทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเป็นส่วนที่ขอบด้านข้างของคางเรา โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
เสริมคางขาสั้น
ซิลิโคนเสริมคางขาสั้นจะมีขาทั้ง 2 ข้าง ยื่นออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหมาะสำหรับคนคางเล็ก หรือคนที่มีคางอยู่แล้ว และไม่ได้มีปัญหาคางสั้น คางตัด เนื่องจากฐานของซิลิโคนค่อนข้างเล็กและแคบ โดยข้อดีของซิลิโคนขาสั้นคือ เมื่อเสริมแล้วใบหน้าจะดูมีมิติสวยแบบธรรมชาติ
เสริมคางขายาว
ลักษณะของซิลิโคนเสริมคางขายาวคือ จะมีขาทั้ง 2 ข้าง ยื่นยาวออกมา ฐานและขาซิลิโคนค่อนข้างกว้าง เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาคางตัด ฐานคางกว้าง แก้มเยอะ และมีและมีรอยต่อระหว่างแก้มกับคางกราม การเสริมคางขายาวช่วยเก็บรอยต่อบริเวณแก้มกับคาง และช่วยให้องค์รวมของรูปหน้าให้ดูเรียวเล็กลง ข้อดีของซิลิโคนประเภทนี้คือ แพทย์สามารถเหลาขาให้เรียวรับกับคางของคนไข้ได้ ทำให้เนียนสวย ไร้รอยต่อ
การเตรียมตัวก่อนการเสริมคาง
ก่อนเข้ารับการทำศัลกรรม คนไข้ควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งกายและใจ เพราะถึงแม้จะเป็นการผ่าตัดเล็ก แต่ถ้าเราดูแลตัวเองดีตั้งแต่ก่อนเข้ารับการผ่าตัดก็จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น และใช้เวลาพักฟื้นน้อยลงด้วย
- งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและทำให้แผลผ่าตัดหายยากยิ่งขึ้น
- งดรับประทานหรือฉีดอาหารเสริมทุกชนิด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพราะจะทำให้เลือดไหลมากและมีอาการบวมมากกว่าปกติ
- งดรับประทานทะเลชนิด และของแสลง เช่น ของหมักดอง, งดอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ, ปลาร้า และอาหารรสจัด เป็นต้น เพราะอาจจะทำให้แผลหายช้า เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และมีอาการบวมมากกว่าปกติ
- เตรียมร่างกายให้พร้อม คนไข้ควรดูแลตัวเองให้แข็งแรง และไม่เจ็บป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- หากคนไข้มีโรคประจำตัวควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายระหว่างผ่าตัด
- หากมีประวัติแพ้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- สำหรับคนไข้ที่ใช้เทคนิคฉีดยานอนหลับหรือดมยาสลบ ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด ส่วนเทคนิคยาชาไม่ต้องงดอาหาร แต่แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ประมาณ 4-5 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- ในวันที่จะเข้ารับการผ่าตัด คนไข้ควรงดแต่งหน้าและสระผมให้เรียบร้อย เนื่องจากหลังผ่าตัดอาจจะทำให้สระผมได้ยากลำบากขึ้นนั่นเอง
- ทำความสะอาดร่างกายบริเวณที่จะผ่าตัด เช่น ล้างหน้าและทำความสะอาดช่องปากด้วยการแปรงฟันและบ้วนปากก่อนเข้ารับการผ่าตัด
วิธีดูแลหลังการเสริมคาง
นอกจากการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัดแล้ว การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดก็สำคัญไม่แพ้กัน ว่าแล้วก็มาดูวิธีดูแลตัวเองหลังการเสริมคางที่ถูกต้องไปพร้อมกันเลย
- ประคบเย็น : คนไข้ควรประคบเย็นทันทีหลังผ่าตัด โดยความเย็นจะช่วยทำให้เส้นเลือดหดตัว ส่งผลให้เลือดไหลน้อยลง อีกทั้งยังช่วยลดอาการบวมได้อีกด้วย วิธีการประคบเย็น เริ่มจากนำเจลประคบเย็นไปแช่ในช่องฟรีซประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจึงทำมาห่อด้วยผ้าขนหนูแล้วค่อย ๆ ประคบลงที่คาง และแก้มทั้ง 2 ข้าง จุดละประมาณ 5 วินาที สามารถทำได้บ่อยตามความต้องการ โดยประคบเย็นจนครบ 3 วันหลังผ่าตัดแล้วจึงเปลี่ยนเป็นประคบร้อน
- ประคบร้อน : หลังจากประคบเย็นจนครบ 3 วันแล้ว ให้คนไข้เปลี่ยนมาใช้การประคบร้อนต่ออีก 4-5 วัน ด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงแค่ใช้เจลประคบหรือผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน โดยอุณหภูมิต้องไม่เกิน 45 องศา เพราะอาจจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองได้ จากนั้นค่อย ๆ ประคบลงที่คาง และแก้มทั้ง 2 ข้าง จุดละประมาณ 5 วินาที การประคบร้อนจะช่วยทำให้เส้นเลือดขยายตัว ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ช่วยทำให้แผลหายเร็วและลดอาการบวมได้เป็นอย่างดี
- ควรนอนหนุนศีรษะสูงในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด : เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดอาการบวมได้ดี ในทางกลับกันหากคนไข้นอนราบไปกับพื้นเลือดจะสูบฉีดไปที่บริเวณศีรษะ ซึ่งทำให้แผลหายช้าและมีอาการบวมมากยิ่งขึ้น
- รับประทานอาหารอ่อน ๆ : สำหรับคนไข้ศัลกรรมเสริมคาง โดยเฉพาะเทคนิคแผลใน ในช่วงแรกอาจจะรับประทานอาหารได้ลำบาก แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้ามต้ม, โจ๊ก และนม เป็นต้น หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองแผล แผลบวม และหายช้านั่นเอง
- งดรับประทานอาหารทะเล และของแสลง : เช่น ของหมักดอง, งดอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ, ปลาร้า และอาหารรสจัด เป็นระยะเวลา 1 เดือน เพราะอาหารทะเลมีโซเดียมสูง ทำให้หายบวมช้าและบางคนอาจเกิดอาการแพ้ ส่วนของแสลง โดยเฉพาะของหมักดองทุกชนิดมีเชื้อแบคทีเรียปะปนอยู่ เมื่อคนไข้รับประทานเข้าไปอาจทำให้แผลติดเชื้อได้
- งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด : สำหรับคนไข้ศัลกรรมเสริมคาง ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังหรี่มีผ่าตัด เนื่องจากในบุหรี่มีสารนิโคตินที่ทำให้ร่างกายหลั่งสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เลือดสูบฉีด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แผลบวมและอักเสบ ส่วนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างที่ทราบกันดีว่าทำให้เลือดสูบฉีดดี จึงส่งผลทำให้แผลบวมเช่นเดียวกัน
- ทำความสะอาดแผลเป็นประจำ : การทำศัลยกรรมทุกประเภทที่ใช้เทคนิคผ่าตัด จำเป็นต้องล้างแผลให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเสริมคางแผลในที่มีแผลผ่าตัดอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค แบคทีเรีย และเศษอาหาร หากทำความสะอาดได้ไม่ดีพอก็อาจจะทำให้แผลติดเชื้อได้ง่าย
วิธีทำความสะอาดหลังเสริมคางแผลใน
สำหรับคนที่เสริมคางแผลใน ควรงดแปรงฟันประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำ เมื่อครบกำหนดและแผลดีขึ้นแล้ว แนะนำให้แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร โดยใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดเล็กร่วมกับยาสีฟันสำหรับเด็กที่มีรสชาติไม่เผ็ดร้อน และบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออีกครั้งเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ
วิธีทำความสะอาดหลังเสริมคางแผลนอก
ในช่วงสัปดาห์แรกคนไข้ควรงดล้างหน้า แต่เปลี่ยนมาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าแทน มาถึงในส่วนของขั้นตอนการทำความสะอาดแผลที่เกิดจากการเสริมคางแผลนอก เริ่มจากทำความสะอาดแผลด้วยสำลีชุบน้ำเกลือ แนะนำให้ค่อย ๆ เช็ดจนกว่าแผลจะสะอาดแล้วซับแผลให้แห้งสนิท จากนั้นจึงตามด้วยการทาเบตาดีน ควรทำแผลเป็นประจำ เช้า-เย็น จนกว่าจะตัดไหม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ อีกทั้งยังช่วยทำให้แผลหายไวขึ้นด้วย
- รับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด : นอกจากการทำความสะอาดแผลแล้ว การรับประทานยาก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยแพทย์จะจัดยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ และยาลดบวม เพื่อบรรเทาอาการปวดและบวมหลังผ่าตัด เพราะฉะนั้น หากคนไข้อยากให้แผลหายไว ๆ และใช้เวลาในการพักฟื้นหลังทำศัลยกรรมไม่นาน ก็ควรรับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดให้ครบและตรงเวลา
- หากมีอาการผิดปกติบริเวณแผลผ่าตัดควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที : หากหลังผ่าตัดคนไข้รู้สึกว่าแผลมีความผิดปกติ เช่น เลือดไหลไม่หยุด, แผลเกิดการอักเสบ บวมมากกว่าปกติ หรือสังเกตเห็นว่าแผลผ่าตัดเริ่มมีหนอง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะแผลอาจจะเกิดการอักเสบและติดเชื้อ
การแก้คางเกิดได้จากหลายสาเหตุ
เหรียญมีสองด้านเสมอ การทำศัลยกรรมก็เช่นเดียวกัน คนที่ทำแล้วสวยก็มี ส่วนคนที่ทำแล้วพลาดก็มีไม่น้อยเช่นกัน ทั้งนี้ก็สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การศึกษาหาข้อมูลที่ไม่เพียงพอ
สิ่งแรกที่ไม่ควรมองข้ามก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมก็คือการเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ มีเครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึงแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง ซึ่งบางคนเห็นแก่ของถูก แต่พอทำมาเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ทำให้จำเป็นต้องเสียเงินแก้อีกมหาศาล
- ปัญหาจากการฉีดฟิลเลอร์คาง
ต้องยอมรับว่าการฉีดฟิลเลอร์ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะมีราคาถูกกว่าการศัลกรรมและไม่ต้องเสียเวลาฟักฟื้นแล้ว ยังสามารถสลายหมดได้ภายใน 2-3 ปีด้วย แต่ข้อเสียคือ ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่สามารถเคลื่อนที่ได้ หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญก็อาจจะทำให้เกิดการย้อยหรือไหลไปในบริเวณที่ไม่ต้องการได้ และสำหรับคนที่โชคร้ายก็อาจจะโดนหลอกฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือสารเหลวที่ไม่สามารถสลายได้ จำเป็นต้องแก้ไขโดยการขูดออก ซึ่งอาจจะทำให้คางผิดรูปและไม่กลับมาปกติ 100 % ด้วย
- ปัญหาจากการทำคางมาแล้วไม่พอใจ หรือทำแล้วเบี้ยว
ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหายอดฮิตของการศัลยกรรมเสริมคางเลยก็ว่าได้ สำหรับปัญหาเสริมคางแล้วคนไข้รู้สึกไม่พอใจ หรือคางเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การเลือกซิลิโคนไม่เหมาะกับรูปหน้า เช่น เสริมมาแล้วคางดูยาวเกินไปหรือสั้นจนเหมือนไม่ได้เสริม รวมถึงปัญหาขนาดซิลิโคนไม่พอดีกับคางทำให้มองเห็นเป็นบล็อกชัดเจน และอีกกรณีหนึ่งก็คือ เสริมคางมาแล้วเบี้ยว ทำให้หลายคนจิตตกและเสียความมั่นใจจนไม่กล้าออกไปเจอใครเลยทีเดียว
บทความเพิ่มเติม
-
ร่องแก้มลึก หน้าเกินวัย แก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ร่องแก้มลึก หน้าเกินวัย แก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์ร่องแก้ม
20 มกราคม 22
-
โบท็อกซ์ลดกราม ปรับโครงหน้าเรียวสวยให้เข้ารูป
กระชับกรอบหน้า ปรับหน้าเรียวสวยให้เข้ารูปด้วยโบท็อกซ์กราม
19 มกราคม 22
-
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย เคล็ดลับคืนความอ่อนเยาว์
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย กระชับผิวหน้า คืนความอ่อนเยาว์อย่างเห็นผล
19 มกราคม 22
Ve’anna Clinic
115/7 ซอยรัชดา 32 (เข้าซอยรัชดา 36 แยก 19-1) ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
วิธีเดินทางมาที่ Ve’anna Clinic
1. เดินทางโดยรถไฟฟ้า (BTS)2. เดินทางโดยไฟฟ้าใต้ดิน (MRT)
3. เดินทางด้วยรถส่วนตัว (มีที่จอดรถ)