รักษาหลุมสิว คืนผิวเรียบเนียนด้วย เลเซอร์ Venus Viva MD
วันนี้ Ve’anna Clinic จะขอพาทุกคนมาทำความเข้าใจกับปัญหารอยหลุมสิวกันให้มากขึ้น ให้หายสงสัยกันไปเลยว่าหน้าเป็นหลุมเกิดจากอะไร และที่ไม่ควรพลาดเลยสำหรับคนเป็นหลุมสิว ก็ต้องเป็นเทคนิคการรักษารอยหลุมสิวใหม่ล่าสุด และกำลังฮอตสุดๆในตอนนี้อย่าง “Venus Viva MD” เลเซอร์หลุมสิวประสิทธิภาพเยี่ยม รับรองมาตรฐานแล้วจาก USFDA และที่สำคัญ เลือกรักษาที่ Ve’anna Clinic หมอป๊อบดูแลเองทุกเคส จึงมั่นใจได้ว่าเห็นผลชัดเจนและปลอดภัยแน่นอน
อย่ารอช้ามาทำความรู้จักกับรอยหลุมสิวและ Venus Viva MD ให้มากขึ้นกันเลย ใครที่กำลังมีปัญหารอยหลุมสิวอยู่พลาดไม่ได้เลยนะคะ
หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็มักจะสร้างความหนักอกหนักใจให้กับคนไข้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะหลุมสิวเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่ไม่สามารถปล่อยไว้ให้หายเองได้ตามธรรมชาติ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีเท่านั้น จึงจะตื้นขึ้นและเลือนหายไป นอกเหนือจากนี้ ยังยากที่จะแต่งหน้าเพื่อปกปิดเหมือนปัญหาผิวแบบอื่นๆอีกด้วย
หลุมสิวคือผิวที่มีการยุบตัวลงไป จึงไม่เรียบเนียนเท่ากับผิวรอบๆ ซึ่งเมื่อมองด้วยตาเปล่า จะเห็นผิวมีลักษณะที่ขรุขระคล้ายกับเป็นหลุมหรือเป็นแอ่งลึกลงไป โดยหลุมสิวมีหลายขนาด ทั้งเล็กและใหญ่ ลึกบ้างตื้นบ้าง ขึ้นอยู่กับประเภทของหลุมสิวนั้นๆ และในหนึ่งนริเวณสามารถมีหลุมสิวหลายประเภทผสมกันอยู่ได้
หลุมสิวเกิดจากอะไร
หลุมสิวเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากร่างกายพยายามรักษาบาดแผลหรือการอักเสบที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าทุกการบาดเจ็บหรือการอักเสบจะทำให้เกิดหลุมสิวเสมอไป จะต้องขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยร่วมด้วย ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ข้อหลักๆ ได้แก่…
1. พฤติกรรมเมื่อเกิดสิว
เมื่อมีสิวขึ้นบนใบหน้า หลายคนมักจะอดใจไม่ไหวที่จะบีบ แคะ แกะ หรือเกา และพฤติกรรมเหล่านี้นี่แหละที่ทำร้ายผิวจนอาจตามมาด้วยปัญหาหลุมสิว นอกเหนือจากนี้ การปล่อยให้สิวขึ้นเป็นเวลานาน โดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี ก็มักจะทำให้เกิดการอักเสบ เป็นหนองเป็นโพรงขึ้น จึงทำให้คอลลาเจนใต้ผิวน้อยลง ในบางกรณีอาจจะเกิดพังผืดขึ้นทดแทนด้วย ดังนั้น หากเจอกับปัญหาสิว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และรีบรักษาโดยเร็วจะเป็นทางออกดีที่สุด
2. ประเภทของสิว
ลักษณะของสิวที่มีโอกาสจะก่อให้เกิดปัญหาหลุมสิวตามมาได้สูง มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่…
-สิวหัวช้าง : สิวเม็ดใหญ่ที่มีหนองผสมกับเลือดอยู่ภายใน มีลักษณะเป็นตุ่มบวม สามารถทดสอบง่ายๆ ด้วยการกดลงไป หากเป็นสิวหัวช้าง จะมีเม็ดไตแข็งๆอยู่ภายใน ซึ่งสิวประเภทนี้เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ผิว จึงรักษาได้ยากและมีโอกาสเกิดปัญหาหลุมสิวตามมาสูง
-สิวอักเสบ : สิวที่มีหนอง ซึ่งจะเข้าไปทำลายผิวหนังและคอลลาเจนภายใน ร่างกายจึงพยายามรักษาแผล ทำให้เกิดเป็นพังผืดดึงรั้งผิวด้านบนจนยุบตัวกลายเป็นหลุมเป็นแอ่ง
3. ชั้นผิวหนังที่เกิดปัญหา
หากปัญหาต่างๆเกิดที่ผิวหนังชั้นบน เมื่อรักษาหายจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ แต่หากเกิดที่ผิวชั้นลึกลงไปถึงผิวชั้นใน ก็จะมีโอกาสเกิดเป็นหลุมสิวหลังรักษาหาย เนื่องจากร่างกายจะสร้างพังผืดขึ้นใต้ชั้นผิว
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว
1. ลดการเกิดสิว
– เนื่องจากหลุมสิว มักเกิดตามมาหลังการเกิดสิว ดังนั้น เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหารอยหลุมสิว จึงต้องเริ่มจากการดูแลผิวให้เกิดสิวน้อยที่สุด
– งดรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด และของมัน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันของไขมันใต้ผิวหนัง
– ทาครีมบำรุงผิว และมอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นเป็นประจำทุกวัน
– ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยเลือก SPF ให้เหมาะสมกับกิจกรรม หากต้องออกกลางแจ้งหรือเผชิญกับแดดจัดเป็นเวลานาน แนะนำให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง และทาซ้ำทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
– ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวันที่ต้องแต่งหน้า หรือ เจอกับมลภาวะต่างๆ ควรใช้คลีนซิ่งหรือโทนเนอร์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าร่วมด้วย เพื่อลดโอกาสที่สิ่งสกปรกจะตกค้าง และเกิดเป็นปัญหาสิวตามมา
2. รักษาสิวอย่างถูกวิธี
– หากเป็นสิวอุดตัน ให้รีบรักษาอย่างรวดเร็ว โดยหมั่นรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ และทายารักษาสิวอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการลุกลามจากสิวอุดตันไปเป็นสิวอักเสบในอนาคต
– ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบ หรือ สิวหัวช้าง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นทางออกดีที่สุด ไม่แนะนำให้รักษาด้วยตัวเอง
– งดการบีบ แคะ แกะ หรือเกาขณะเป็นสิว เพราะเป็นการทำร้ายผิว และยังส่งผลให้สิวอักเสบยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
หลุมสิวมีทั้งหมดกี่แบบ
หลุมสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ โดยแต่ละประเภทก็จะมีสาเหตุ ลักษณะ ระดับความรุนแรง และวิธีการรักษารอยหลุมสิวที่แตกต่างกันออกไป
-
Rolling scar
Rolling Scar เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด จึงรักษาได้ง่ายที่สุด ลักษณะหลุมที่สามารถสังเกตได้ คือ ผิวบริเวณนั้นจะยุบตัวลงไปเป็นวงกว้างคล้ายกับแอ่งโค้งตื้น แต่ไม่สามารถระบุขอบเขตของปากหลุมที่ชัดเจนได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะกว้างมากกว่า 4-5 มิลลิเมตร โดยรอยหลุมสิวประเภทนี้สามารถทดสอบด้วยตัวเองได้ง่ายๆ เพียงดึงผิวด้านข้าง จะพบว่าผิวที่เคยเป็นหลุมจะดูเรียบเนียนขึ้นเท่ากับบริเวณรอบๆ แต่หากปล่อยมือจะเห็นเป็นรอยหลุมสิวเช่นเดิม
นอกเหนือจากนีั Rolling Scar ยังเป็นหลุมสิวที่แตกต่างจากหลุมสิวประเภทอื่นๆ เนื่องจากผิวหนังแท้ไม่ได้หายไป แต่มีพังผืดดึงรั้งผิวไว้จากด้านล่าง จึงทำให้ผิวมีลักษณะเป็นหลุมเป็นแอ่งนั่นเอง
วิธีรอยรักษาหลุมสิวแบบบ Rolling Scar
– รักษาแบบถาวร : ทำ Subcision เลาะพังผืด, ศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว และยิง Laser กระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว
– รักษาแบบชั่วคราว : ฉีด Filler เติมเต็มหลุมสิว
-
BoxCar scar
Boxcar Scar เป็นรอยหลุมสิวที่มีระดับความรุนแรงมากกว่า Rolling Scar แต่ก็ยังจัดว่าเป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงเพียงระดับกลางเท่านั้น โดยหลุมสิวประเภทนี้จะเกิดจากการที่ผิวชั้นหนังแท้บางส่วนหายไป จึงทำให้ความหนาของผิวไม่เท่ากับบริเวณอื่นๆ ลักษณะเด่นของรอยหลุมสิวประเภทนี้ คือ หลุมจะมีลักษณะคล้ายกับกล่อง ซึ่งมีความกว้างและความลึกเท่าหรือใกล้เคียงกันมาก ปากหลุมจะกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร สามารถมองเห็นขอบเขตของปากหลุมสิวได้อย่างชัดเจน พบได้บ่อยบริเวณแก้มและขมับ
วิธีการรักษารอยหลุมสิวแบบ Boxcar Scar
– รักษาแบบถาวร : ยิง Laser กระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว, ศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว
– รักษาแบบชั่วคราว : ฉีด Filler เติมเต็มหลุมสิว
-
Ice Pick Scar
Ice Pick Scar คือ ประเภทของหลุมสิวที่มีระดับความรุนแรงสูงสุด และรักษาได้ยากที่สุด โดยลักษณะหลุมจะคล้ายกับกรวย ปากหลุมเล็กและแคบมาก ขนาดน้อยกว่า 2 มิลลิเมตร แต่มีก้นหลุมที่ลึกถึงหนังกำพร้า มีปลายแหลม พบได้บ่อยครั้งบริเวณแก้ม โดยสามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่…
- รอยแผลตื้น (Shallow Scar) มีความลึกประมาณ 0.1-0.5 มิลลิเมตร
- รอยแผลลึก (Deep Scar) มีความลึกประมาณ 0.5 มิลลิเมตร
วิธีรักษารอยหลุมสิวแบบบ Ice Pick scar
สำหรับรอยหลุมสิวประเภทนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนจะดีที่สุด เนื่องจากบางครั้งจะต้องใช้เทคนิคมากกว่า 1 แบบผสมผสานกัน เพื่อได้ให้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
รักษารอยหลุมสิวอย่างไรได้บ้าง
-
รักษารอยหลุมสิวด้วยวิธีธรรมชาติ
การรักษารอยหลุมสิวด้วยวิธีการทางธรรมชาติ มักจะเป็นทางเลือกแรกๆสำหรับหลายคน เพราะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงแค่หยิบจับผัก ผลไม้ และสมุนไพรใกล้ตัวที่มีส่วนประกอบสำคัญอย่างกรด AHA ก็สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น โดยสมุนไพรไทยที่นิยมใช้ได้แก่….
– มะละกอ : มี Enzyme Papain และChymopapain จึงช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า และสามารถช่วยกระตุ้นการสมานแผลได้อย่างดี
– ว่านหางจระเข้ : ช่วยกระชับรูขุมขน ลดการอักเสบของผิว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
– ใบบัวบก : มีสาร Glucosides ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิว
ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ
- ทำให้ผิวระคายเคืองน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
- สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาต่ำ
ข้อเสียของการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ
- เห็นผลการรักษาค่อนข้างช้า หรือแทบไม่ผลการเปลี่ยนแปลงเลย
- ไม่สามารถรักษาหลุมสิวบางประเภทได้
-
รักษารอยหลุมสิวด้วยเลเซอร์
การรักษารอยหลุมสิวด้วยเลเซอร์ หรือ Laser Resurfacing จะช่วยให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น ด้วยการผสมผสาน 2 เทคนิค คือ การทำให้เซลล์ผิวเก่าชั้นบนผลัด/ลอกออก และการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวซึ่งการทำ Laser Resurfacing สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ได้แก่…
- Ablative Laser : เลเซอร์ปรับผิวให้เรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ด้วยการทำให้ผิวชั้นบนลอกออก เพื่อให้ผิวเกิดการฟื้นฟู จนทำให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น แต่เลเซอร์แบบนี้ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากหลังทำจะมีสะเก็ด และรอยแดง นอกเหนือจากนี้ ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงอย่างรอยดำ และฝ้ากระตามมาหลังทำอีกด้วย ดังนั้น หากใครจะเลือกรักษาด้วยวิธีนี้ จำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเองอย่างดี
- Non-Ablative Laser : เลเซอร์ที่เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว แต่จะไม่ทำให้เกิดการลอก หรือ ผลัดเซลล์ผิวด้านบนออก ดังนั้นจึงไม่มีแผล และไม่จำเป็นต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ในทางกลับกัน เลเซอร์ประเภทนี้ก็ไม่สามารถรักษาหลุมสิวให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้
- Fractional Laser : เลเซอร์ประเภทนี้ได้รับความนิยมมากกว่า Ablative Laser และNon-Ablative Laser เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว และช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าเฉพาะบริเวณได้อย่างดี จึงส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียน หลุมสิวเติมเต็มมากยิ่งขึ้น พร้อมลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียง และยังไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนานเท่ากับวิธีอื่นอีกด้วย
ข้อดีของการรักษาด้วยเลเซอร์
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
- เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส
- เหมาะสำหรับคนที่กลัวการผ่าตัด
- สามารถรักษาหลุมสิวได้หลากหลายประเภท
ข้อเสียของการรักษาด้วยเลเซอร์
- จำเป็นต้องดูแลตัวเองหลังทำอย่างดี
- ผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้น ดังนั้น หลังทำจำเป็นต้องทาครีมแดด และหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัดประมาณ 1-2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย
- มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังทำ เช่น รอยดำ ฝ้ากระ
- จำเป็นต้องดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- จำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง
-
รักษารอยหลุมสิวด้วยคลื่นวิทยุ
เทคนิคการรักษารอยหลุมสิวด้วยพลังงานคลื่นวิทยุ เป็นเทคโนโลที่พัฒนาต่อจากเลเซอร์ โดยมีความโดดเด่นในเรื่องพลังงานที่จะไม่จับกับเม็ดสี จึงสามารถใช้ได้กับคนไข้ทุกเพศทุกวัยทุกสีผิว และยังทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยอีกด้วย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่…
Fractional RF – ใช้พลังงานคลื่นวิทยุในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว โดยจะส่งพลังงานแบบแผ่กว้างคล้ายพีระมิด จึงสามารถส่งพลังงานลงไปในชั้นผิวได้ลึกมากขึ้น
Fractional RF Microneedle – ใช้หลักการทำงานคล้ายกับ Fractional RF แต่จะมีปล่อยพลังงานผ่านปลายเข็ม จึงทำให้ลงไปได้ลึกกว่า Fraction RF ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า และยังลดโอกาสเกิดรอยดำหลังทำอีกด้วย
ข้อดีของการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ
- สามารถรักษาได้ทุกเพศทุกวัยทุกสีผิว
- พลังงานไม่จับกับเม็ดสี จึงเกิดผลข้างเคียงน้อย
- พลังงานลงไปในผิวชั้นลึก จึงแสดงประสิทธิภาพได้ดี
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
- ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน
- เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- สามารถรักษาหลุมสิวได้หลายประเภท
ข้อเสียของการรักษาด้วยคลื่นวิทยุ
- ต้องดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดหลังทำ
- ราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสิทธิภาพที่ดี
-
รักษารอยหลุมสิวด้วยการฉีดฟิลเลอร์
สำหรับคนที่อยากได้ผลลัพธ์รวดเร็วทันใจ หรือ ไม่มีเวลาพักฟื้น การรักษารอยหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว คือ การเติมเต็มหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) ซึ่งการรักษาวิธีนี้ต้องอาศัยความชำนาญและเชี่ยวชาญของแพทย์สูงมาก ทั้งการคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อย่างเหมาะสม ชั้นผิวที่ฉีด และเทคนิคการฉีด เพื่อให้ผลลัพธ์หลังทำเป็นไปตามที่คนไข้ต้องการ นอกเหนือจากนี้ ควรเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้และสามารถตรวจสอบได้ว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ในการรักษาเป็นฟิลเลอร์แท้ 100%
ข้อดีของการรักษาด้วยฟิลเลอร์
- เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ
- ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
ข้อเสียของการรักษาด้วยฟิลเลอร์
- ให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อฟิลเลอร์หมดฤทธิ์หรือสลายไป ก็จะสามารถมองเห็นหลุมสิวได้เหมือนเดิม
- มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องฉีดเติมเมื่อฟิลเลอร์สลายไป
- จำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
-
รักษารอยหลุมสิวด้วยการผ่าตัด
การศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว เป็นเทคนิคการรักษาที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกันนัก แต่การรักษาวิธีนี้ได้ผลดีมากๆ กับหลุมสิวประเภท Ice Pick Scar และ Boxcar Scar ซึ่งมีขนาดขอบเขตไม่เกิน 3 มิลลิเมตร สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 4 แบบด้วยกัน ได้แก่…
- Punch Excision คือ เทคนิคการผ่าตัดเอารอยหลุมสิวออก แล้วเย็บแผลให้ติดกัน
เหมาะสำหรับรอยหลุมสิว : Boxcar Scar และ Ice Pick Scar - Punch Elevation คือ เทคนิคการผ่าตัดรอยหลุมสิว ด้วยการยกผิวบริเวณหลุมสิวขึ้นจนมีระดับเท่ากับผิวโดยรอบ แล้วจึงเย็บให้ติดกัน
เหมาะสำหรับรอยหลุมสิว : Boxcar Scar - Punch Grafting คือ เทคนิคการใช้เนื้อบริเวณอื่นๆ มาปิดรอยหลุมสิว แล้วจึงเย็บปิด และรอให้เนื้อเยื่อเติบโตขึ้นจนเต็ม
เหมาะสำหรับรอยหลุมสิว : Boxcar Scar และ Ice Pick Scar - Elliptical Excision คือ เทคนิคการเย็บปิดหลุมสิวให้แนบสนิท โดยจะผ่าตัดกรีดหลุมสิวเป็นวงรี และเย็บติดกัน
เหมาะสำหรับรอยหลุมสิว : Boxcar Scar และ Ice Pick Scar
ข้อดีของการรักษาด้วยการผ่าตัดหลุมสิว
- เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ
- ทำเพียงครั้งเดียวก็ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายรอบเหมือนวิธีอื่น
- ค่าใช้จ่ายไม่สูง
- สามารถรักษาหลุมสิว Boxcar Scar และIce Pick Scar ที่รักษายากได้อย่างดี
ข้อเสียของการรักษาด้วยการผ่าตัดหลุมสิว
- ใช้เวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน
- ไม่เหมาะกับหลุมสิวที่มีความกว้างของขอบมากกว่า 3 มิลลิเมตร
- เจ็บมาก เมื่อเทียบกับการรักษาวิธีอื่น
- จำเป็นต้องดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- มีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นตามมาหลังทำ
- ไม่เหมาะกับคนที่กลัวการผ่าตัด
รักษารอยหลุมสิวด้วยเทคนิค Venus Viva MD
Venus Viva เป็นเทคโนโลยีการรักษารอยหลุมสิวด้วยพลังงานคลื่นวิทยุที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากแสดงประสิทธิภาพในการรักษารอยหลุมสิวได้อย่างดี ที่สำคัญมีความปลอดภัยสูงมาก เพราะผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา หรือ USFDA
และที่ Ve’anna Clinic เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดใหักับคนไข้เสมอ เราจึงเลือกใช้เครื่องรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Venus Viva MD ในการรักษารอยหลุมสิวและดูแลผิว เพราะเครื่องรุ่นนี้มีประสิทธิภาพเยี่ยม และเหนือกว่าเครื่องรุ่นเก่า(Venus Viva)ในหลายๆด้าน
ส่งพลังงานเข้าชั้นผิวได้แม่นยำ – Venus Viva MD ใช้เทคโนโลยี Smart Scan ร่วมด้วย ซึ่งจะทำการสุ่มพลังงานเข้าสู่ทุกเข็ม เพื่อให้ทุกส่วนของผิวหนังได้พลังงานเท่ากัน จึงไม่เกิดการทับซ้อนของพลังงานกัน ส่งผลให้เจ็บน้อยกว่า และเกิดการผิวไหม้ได้ยากมากหรือแทบไม่เกิดขึ้นเลย ต่างจากหัวแบบอื่นๆ ซึ่งส่งพลังงานเข้าสู่ผิวแบบรวดเดียว ผ่านทุกเข็มพร้อมๆกัน ส่งผลให้บริเวณขอบของหัว พลังงานจะไม่ถึงที่ควรเป็น
หัวแบบใหม่ 80 pins – สามารถรักษาหลุมสิวที่ลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเครื่องรุ่นเก่าจะไม่สามารถใช้หัวแบบนี้ได้
เจ็บน้อยและใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า – ระหว่างการรักษาหลุมสิวด้วย Venus Viva MD จะรู้สึกเจ็บน้อยมาก หรือ บางคนอาจจะไม่รู้สึกเจ็บเลยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาและสภาพผิวด้วย นอกเหนือจากนี้ ระยะเวลาที่ใช้ในการพักฟื้นของ Venus Viva MD ก็น้อยมากเพียง 2-3 วันเท่านั้น ในขณะที่เครื่องรุ่นเก่าต้องใช้เวลาพักฟื้นมากถึง 7 วัน
การทำงานของ Venus Viva MD
Venus Viva MD รวบรวมเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง Nano Fractional RF ซึ่งมีหัวเข็มขนาดเล็กแต่ให้พลังงานที่สูง และ Smart Scan ที่ช่วยควบคุมพลังงานอย่างแม่นยำไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดย Venus Viva MD จะส่งพลังงานผ่าน pin ขนาดเล็ก ทั้งแบบ 160 pins (62 mJ/pin) และ 80 pins (124 mJ/pin) จึงช่วยรักษาปัญหาหลุมสิวชั้นลึกได้ดี โดยบาดแผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็กระดับไมครอน (3,000 ไมครอน) จึงทำให้ระยะการพักฟื้นเกิดขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งลดการเกิดผลข้างเคียงต่างๆ
โดย Venus Viva MD จะส่งพลังงานความร้อนสูงสุดถึง 1,000 จังหวะ และลึกถึง 500 ไมครอนเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ จึงทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว พร้อมช่วยให้เนื้อเยื่อใต้ผิวจัดเรียงตัวใหม่อย่างแข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งพื้นที่ในการรักษาจะมีขนาดที่เล็กมาก จึงทำให้รู้สึกเจ็บน้อยระหว่างทำ และใช้เวลาพักฟื้นเพียงไม่นาน
ข้อดีของการรักษาด้วย Venus Viva MD
- สามารถใช้รักษาได้ทุกสภาพและสีผิว
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว
- รักษาได้อย่างแม่นยำ ลดโอกาสการเกิดผิวอักเสบ
- แผลเล็ก เจ็บน้อย พักฟื้นไม่นาน
- เห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ระยะเวลาในการรักษา
– การรักษาด้วย Venus Viva MD จะใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีต่อครั้งเท่านั้น โดยแนะนำให้รักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-4 ครั้ง(เดือนละ 1 ครั้ง) เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่ชัดเจน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ระดับความรุนแรงของปัญหา และวิจารณญาณของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย
– หลังการรักษาจะเกิดรอยแดงเล็กน้อย และทิ้งสะเก็ดบางๆไว้ แต่จะลอกหลุดออกไปเอง
– ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2-3 วัน
ปัญหาผิวที่สามารถรักษาได้ด้วย Venus Viva MD
- รักษาหลุมสิว และรอยแผลเป็นจากสิวให้ตื้นขึ้น
- ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยให้จางลง
- กระชับรูขุมขนให้มีขนาดเล็กลง
- ฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้จ่างใส เรียบเนียน และมีสีผิวที่สม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
- ยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยให้เต่งตึง และดูเด็กอีกครั้ง
การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์หลุมสิว
– ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอทุกวัน และหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
– งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
– หากมีสิวก่อนทำการรักษา แนะนำให้หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ และเกา
ข้อควรระวังหลังทำเลเซอร์หลุมสิว
– ไม่ควรแคะ แกะหรือเกาบริเวณที่มีสะเก็ด
– สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ หลังการรักษาประมาณ 24 ชั่วโมง
– ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
– หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าอย่างรุนแรง หรือทำกิจกรรมที่ทำให้ผิวระคายเคือง เช่น การสครับ ขัด หรือ ถูก
– ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน
-ทามอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างสม่ำเสมอ
– งดการทาครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน A, C และ AHA
– ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
– พักผ่อนอย่างเพียงพอ
การรักษาด้วย Venus Viva MD กี่ครั้งถึงจะเห็นผล
แนะนำให้รักษาประมาณ 3-5 ครั้งและห่างกันประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการรักษา
รีวิวการรักษารอยหลุมสิวด้วย Venus Viva MD ที่ Ve’anna Clinic
รูปรีวิวก่อนและหลังรักษาหลุมสิวทั้งหมดมาจากเคสจริง ลูกค้าจริงดูแล ไม่มีการตกแต่งภาพใดๆ
สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ควรพลาด Venus Viva MD เทคโนโลยีรักษาหลุมสิวที่ Ve’anna Clinic เลยนะคะ เพราะนอกจากจะสามารถรักษาหลุมสิวได้จริง และมีประสิทธิภาพเยี่ยมแล้ว ที่ Ve’anna Clinic หมอป๊อบและทีมแพทย์ยังพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิดในทุกๆขั้นตอนค่ะ เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา การออกแบบการยิง และการปรับค่าพลังงานให้เหมาะสมกับแต่ละเคสอย่างแท้จริง จึงมั่นใจได้ว่าปัญหาหลุมสิวของคุณหายชัวร์ ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจจองคิวได้ที่ Facebook, Instagram และ LINE OA หรือโทร. 064-696-9693
บทความเพิ่มเติม
-
ไขข้อสงสัย เสริมคางแผลนอก-แผลใน แบบไหนดี?
พร้อมเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของการเสริมคางทั้ง 2 แบบ รวมถึงการดูแลหลังเสริมคาง
18 กรกฎาคม 21
-
โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า ให้เรียวสวย ผิวยกกระชับ
ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับโครงหน้าให้ชัดและเป๊ะ ด้วยโบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า
19 มกราคม 22
-
ฟิลเลอร์ใต้ตา ดีจริงหรือหลอก หมอป๊อปมีคำตอบ!
ฟิลเลอร์ใต้ตา เติมเต็มใต้ตาให้สวยสดใสไม่โทรม
20 มกราคม 22
Ve’anna Clinic
115/7 ซอยรัชดา 32 (เข้าซอยรัชดา 36 แยก 19-1) ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
วิธีเดินทางมาที่ Ve’anna Clinic
1. เดินทางโดยรถไฟฟ้า (BTS)2. เดินทางโดยไฟฟ้าใต้ดิน (MRT)
3. เดินทางด้วยรถส่วนตัว (มีที่จอดรถ)